คลังเก็บป้ายกำกับ: ธุรกิจ

สามหน่วยงานลงมติ

สามหน่วยงานลงมติ ฝากเงินสดผ่านตู้ CDM ยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP เริ่ม 1 มิ.ย. 2566

สามหน่วยงานลงมติ ฝากเงินสดผ่านตู้ CDM ยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP เริ่ม 1 มิ.ย. 2566

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เพิ่มวิธีการยืนยันตัวตนการฝากเงินสดผ่านเครื่อง CDM ด้วยรหัส OTP

สามหน่วยงานลงมติ

ตามที่ มาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ได้กำหนดให้การทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ฝากเงินผ่านเครื่องรับฝากอัตโนมัติ (CDM) ต้องมีการแสดงตนของผู้ทำธุรกรรม เพื่อให้มีความปลอดภัย สร้างภูมิคุ้มกันให้กับระบบการเงิน และเป็นการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ภาคธนาคารจึงดำเนินการตามข้อกำหนดดังกล่าว โดยแนวทางหนึ่ง คือ ให้ผู้ทำธุรกรรมต้องแสดงตนโดยใช้บัตรเดบิต บัตรเครดิต หรือบัตรเอทีเอ็ม

อย่างไรก็ตาม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ไม่มีบัตรดังกล่าวให้สามารถทำรายการฝากเงินที่เครื่องรับฝากเงิน CDM ได้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย จึงได้หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางการยืนยันตัวตนด้วยวิธีการอื่นเพิ่มเติม โดยมีหลักการว่า ต้องไม่สร้างภาระแก่ประชาชนเกินควร และมีทางเลือกในการยืนยันตัวตนได้หลายรูปแบบ

จากการหารือร่วมกันทั้งสามหน่วยงาน โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ทุกรายได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ควรเพิ่มวิธีการยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP (One Time Password) เป็นทางเลือกให้กับประชาชน

โดยผู้ฝากเงินผ่านเครื่อง CDM สามารถกรอกหมายเลขประจำตัวประชาชน และเบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อรับรหัส OTP แล้วจึงกรอกรหัสดังกล่าวบนหน้าจอเครื่อง CDM ก่อนทำธุรกรรมฝากเงิน ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกให้ประชาชนสามารถใช้วิธีการแสดงตัวตนจากโทรศัพท์มือถือที่มีอยู่ได้สะดวกและไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ทั้งนี้ การยืนยันตัวตนด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากขึ้นสำนักงาน ปปง. ธปท. และสมาคมธนาคารไทย จะร่วมกันส่งเสริมให้มีการพัฒนาและเพิ่มทางเลือกอื่นเพิ่มเติมในระยะต่อไป

ติดตามข่าวเกี่ยวกับธุรกิจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : ก.ล.ต.พบช่องโหว่เหรียญ KUB เสี่ยงถูกแฮ็ก โอนเงินออกจากวอลเล็ต

เหรียญ KUB

ก.ล.ต.พบช่องโหว่เหรียญ KUB เสี่ยงถูกแฮ็ก โอนเงินออกจากวอลเล็ต

บอร์ด ก.ล.ต.สั่ง Bitkub แก้ไขเทคโนโลยีของเหรียญ KUB หลังพบช่องโหว่อาจถูกผู้ไม่หวังดีแฮ็ก โอนสินทรัพย์ออกจากวอลเล็ตลูกค้า

เหรียญ KUB

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (คณะกรรมการ ก.ล.ต.) ในการประชุมครั้งที่ 7/2565 และครั้งที่ 10/2565

มีมติสั่งการให้บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) ดำเนินการแก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาให้บริการในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายในวันที่ 4 ส.ค. 2565

โดยให้ Bitkub ประสานกับผู้ออกเหรียญ KUB ให้แก้ไขมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจคเหรียญ KUB ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลของ Bitkub ได้พิจารณาไว้ (เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2564)

โดย Bitkub ได้มีหนังสือลงวันที่ 4 ส.ค. 2565 ชี้แจงการแก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาให้บริการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมนำส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว นั้น

คณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมครั้งที่ 13/2565 เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2565 ได้พิจารณาคำชี้แจงข้อเท็จจริงของ Bitkub และเอกสารหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว พบข้อเท็จจริงใหม่ว่า

เทคโนโลยีของโปรเจคเหรียญ KUB มีระบบ adminTransfer* ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ผู้ไม่หวังดีจะสามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลใดๆ ได้ หากเข้าถึงสิทธิในระบบดังกล่าว

อีกทั้งไม่ปรากฏการควบคุมเชิงเทคนิค (Technical Control) จึงพิจารณาได้ว่า การที่ Bitkub ให้บริการซื้อขายเหรียญ KUB ซึ่งมี adminTransfer ที่ยังไม่ได้มีการคำนึงถึงความเสี่ยงตามที่กล่าวข้างต้น เป็นการดำเนินงานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน

คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 35 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 สั่งการให้ Bitkub แก้ไขการดำเนินการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน

โดยประสานกับผู้ออกเหรียญ KUB ให้แก้ไขมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจคเหรียญ KUB และแก้ไขในส่วนของ adminTransfer เพื่อจำกัดผลกระทบในเชิงระบบจากความเสี่ยงต่อสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ถือเหรียญ KUB จากการเข้าถึงระบบดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยคำนึงถึงการแก้ไขในเชิงเทคนิค (By Design) และการลดโอกาสการแทรกแซงของบุคลากร

รวมทั้งให้ Bitkub แสดงหลักฐานเกี่ยวกับการแก้ไขดังกล่าวอย่างชัดเจนต่อ ก.ล.ต. ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ 6 ต.ค. 2565 และให้ Bitkub เปิดเผยความเสี่ยงเกี่ยวกับ adminTransfer ของเหรียญ KUB บนเว็บไซต์ของ Bitkub ภายใน 3 วันนับแต่วันที่ 6 ต.ค. 2565

* adminTransfer คือ ระบบที่ให้ผู้ดูแลระบบ สามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลใดๆ ได้

อ่านข่าวธุรกิจ เพิ่มเติมคลิ๊ก>>> CPN เปิดตัวเซ็นทรัล พระราม 2 โฉมใหม่ หลังทุ่มงบ 1.2 พันลบ.เป็นศูนย์การค้าตอบโจทย์ทุกเจน

บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา

CPN เปิดตัวเซ็นทรัล พระราม 2 โฉมใหม่ หลังทุ่มงบ 1.2 พันลบ.เป็นศูนย์การค้าตอบโจทย์ทุกเจน

บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดตัว “เซ็นทรัล พระราม 2” โฉมใหม่เต็มรูปแบบทุ่มงบ 1,200 ล้านบาท พลิก Landscape เมืองสู่การเป็น The New Urbanist “ไลฟ์สไตล์ ดี..ดี มีได้ทุกวัน” ปักหมุดเป็น No.1

บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา

Destination ที่ครบครันยกระดับชีวิตตอบโจทย์ทุกเจน เดินหน้าเป็นผู้นำตัวจริง Regional Mall อันดับ 1 ในย่านพระราม 2 ด้วยการปรับโฉมครั้งยิ่งใหญ่ครีเอท Mall ambience ใหม่ทั้งศูนย์การค้าให้ลูกค้าได้เติมเต็มคุณภาพชีวิต ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เชื่อมต่อพื้นที่สีเขียวเข้ากับศูนย์การค้าแบบ Seamless สร้าง First Impression ตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามาในศูนย์ฯ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ครบครันที่สุดแบบไม่ต้องเดินทางเข้าเมืองอีกต่อไป

พร้อมชู Magnet ด้วย Food destination ที่ดีที่สุดในย่านพระราม 2 รวมร้านอาหารดังระดับโลกตั้งแต่มิชลินสตาร์จนถึงสตรีทฟู้ดกว่า 300 ร้าน สร้างโซนใหม่ Tree Chamber พลิกโฉม Retail Experiences รวม BU Synergy ครั้งสำคัญ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ช้อปปิ้งแบบ Seamless Integration ที่แรกในย่าน , โฉมใหม่ Central Food Hall มอบประสบการณ์โกรเซอรี่ระดับพรีเมียม, SUPERSPORTS พื้นที่ไซส์ XL ที่ใหญ่ที่สุด พร้อม New Concept Store กับ Sport Stimulation Zone , Power Buy X B2S ทดลองประสบการณ์ด้านกีฬารูปแบบใหม่ๆ เนรมิตไลฟ์สไตล์ฮับแห่งเทคโนโลยี และหนังสือที่หลากหลาย Edutainment สถาบันการศึกษาเด็ก และพื้นที่กิจกรรมของเด็กและครอบครัว ตั้งเป้าดึงดูดยอดทราฟฟิกที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น 30%

นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด CPN กล่าวว่า การพลิกโฉมใหม่ของเซ็นทรัล พระราม 2 ในครั้งนี้ นับเป็น Strategic shift ด้วยกลยุทธ์การสร้าง Landmark Destination ทุกหัวมุมเมืองสำคัญของศูนย์การค้าเซ็นทรัลพัฒนา โดยเซ็นทรัล พระราม 2 จะเป็น Regional Mall อันดับ 1 ของกรุงเทพฯ ตอนใต้ ภายใต้แนวความคิด The New Urbanist “ไลฟ์สไตล์ดี..ดี มีได้ทุกวัน

เราได้ขยายขยายแคชเม้นท์ เพื่อตอบโจทย์ชาวพระราม 2 ทุกเจน ครบทุกความต้องการ สร้าง First Impression ให้กับลูกค้าตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามาในศูนย์ฯ ยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมดและเชื่อมต่อพื้นที่สีเขียวเข้ากับศูนย์การค้าแบบ Seamless สร้างแมกเนตดึงดูดด้วยฟู้ดเดสทิเนชั่นที่ดีที่สุดในย่าน พระราม 2 ภายใต้แนวคิด The Infinite Taste อร่อยครบครันทุกชั้นทั้งศูนย์ โซนใหม่ Tree Chamber ในคอนเซ็ปต์ Shopping Boulevard แลนด์มาร์กใหม่ที่รวมร้านดังระดับโลก และคาเฟ่ชื่อดัง รวมถึงร้านอาหารตั้งแต่สตรีทฟู้ดไปจนถึงมิชลินสตาร์ ตั้งแต่ชั้น G ถึง ชั้น 4

อีกทั้งได้รวม BU Synergy ครบครัน อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ด้วยคอนเซ็ปต์ “THE NEW LOOK เซ็นทรัลพระราม 2 โฉมใหม่ ช้อปได้ทุกวัน” ผสานเชื่อมต่ออย่างกลมกลืนทุกชั้นทุกแผนกทั้ง Fashion & Beauty Kids Home , Central Food Hallสุนทรียภาพของโลกแห่งความอร่อย ตัวจริงที่สุดของฟู้ดสโตร์เวิล์ดคลาสเดสทิเนชั่น ,Tops CLUB แพลตฟอร์มช้อปปิ้งรูปแบบเมมเบอร์คลับ ครั้งแรกของเมืองไทยที่รวมของกินของใช้จากทั่วโลกมาให้แก่สมาชิกได้ช้อปในราคาสุดพิเศษ , SUPERSPORTSขนาด XL ขยายพื้นที่เท่าตัว เพิ่มโซน Velo Bicycle และ FutbolX, Power Buy x B2Sไลฟ์สไตล์ฮับแห่งเทคโนโลยี และหนังสือที่ทันสมัย มัดใจชาวกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก , OfficeMate ที่เดียวครบจบทุกธุรกิจ และ Auto1 ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร

นายณัฐกิตติ์ กล่าวต่อ การพลิกโฉมใหม่ในครั้งนี้ทำให้สามารถดึงกลุ่ม Wealth Segment เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% และหลังจากรีโนเวทเสร็จครบทั้งศูนย์ รวมทั้งสถานการณ์โควิดที่เริ่มผ่อนคลาย ทำให้ทราฟฟิกกลับมาเกือบ 100%

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ด้วยนวัตกรรม Zero-Carbon Transportation Hub in South Bangkok แห่งแรกของศูนย์การค้าไทย และตั้งเป้าเป็น Zero Waste Mall หนึ่งเดียวในย่านด้วย Recycle Station สะท้อนค่านิยมองค์กร 2 ประการตามเป้าหมายองค์กรในการเป็น Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 Positivity คิดสร้างสรรค์ ทำสิ่งดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคน และ Community at Heart ใส่ใจ ดูแลชุมชน และสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

อัพเดทข่าว แนะนำข่าวเพิ่มเติม : คิง เพาเวอร์ จับมือ เลสเตอร์ ซิตี้ เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ “ไทยทรงดำ”

คิง-เพาเวอร์-ร่วมกับ-เลสเตอร์-

คิง เพาเวอร์ จับมือ เลสเตอร์ ซิตี้ เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ “ไทยทรงดำ”

คิง เพาเวอร์ ร่วมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ เผยโฉมคอลเลกชันของที่ระลึกใหม่ล่าสุด ภายใต้ชื่อ THAI SONG DUM (ไทยทรงดำ) ชูความคิดสร้างสรรค์และความงดงามของสินค้าฝีมือคนไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล

คิง-เพาเวอร์-ร่วมกับ-เลสเตอร์-ซิตี้-

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า คิง เพาเวอร์ บริษัทของคนไทยมุ่งมั่นดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย โดยส่งเสริม และสนับสนุนศักยภาพของคนไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก ขับเคลื่อนประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรม 3 ด้านหลัก ได้แก่ SPORT POWER (ด้านกีฬา) MUSIC POWER (ด้านดนตรี) และ COMMUNITY POWER (ด้านชุมชน) นำไปสู่การดำเนินโครงการเพื่อสังคมตั้งแต่ระดับบุคคล ชุมชน ประเทศชาติ ไปจนถึงระดับสากล

ในครั้งนี้เป็นกิจกรรมในด้าน Community Power ที่เห็นความสำคัญของสินค้าไทย และต้องการที่จะสนับสนุนความสามารถของ คนไทยให้เป็นที่ประจักษ์กับชาวต่างชาติ ตลอดจนสืบสานวิถีชีวิต และอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้านในภูมิภาคต่างๆ ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

LCFC x COMMUNITY POWER ภายใต้ชื่อคอลเลกชัน “THAISONGDUM” (ไทยทรงดำ) เป็นการพัฒนาสินค้าระหว่างบริษัท MULTIPLY BY EIGHT ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการด้านออกแบบชั้นนำในกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมกับชาวบ้านชุมชนไทยทรงดำ บ้านดอนมะนาว จ.สุพรรณบุรี เป็นระยะเวลาร่วมปีกว่า โดยทีมคิง เพาเวอร์ และ LCFC ได้ลงพื้นที่เข้าไปศึกษาเรียนรู้รายละเอียดต่างๆ กับชุมชน เพื่อประยุกต์ให้เข้ากับสินค้าของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างลงตัว ต่อยอดพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศ และเป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก

มีทั้งเสื้อกีฬา และไอเทมต่างๆ ที่มาในโทนสีเอกลักษณ์ของคิง เพาเวอร์ และ LCFC นั่นคือ สีคราม สีน้ำเงิน และสีดำ โดยมีลายหน้าจิ้งจอก และโลโก้สโมสร อันเป็นซิกเนเจอร์ของ LCFC มาปรากฏด้วย เนื้อผ้าละเอียด นุ่ม สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อับชื้น ดูนำสมัย และสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยสินค้า 7 ประเภท ได้แก่ เสื้อยืดปักมือ, เสื้อยืดย้อมฮ่อม รุ่น Limited Edition, แจ็กเก็ตสไตล์มินิมอล รุ่น Limited Edition เพียง 200 ตัวในโลก, กระเป๋าคาดเอว, หมวกแก๊ปผ้าฝ้ายทอมือย้อมคราม, พวงกุญแจนำโชค และลูกบอลผ้าฝ้ายทอมือย้อมคราม

ด้าน นางขวัญยืน ทองดอนจุย ทายาทรุ่นที่ 5 เเละประธานกลุ่มทอผ้าไทยทรงดำบ้านดอนมะนาว กล่าวว่า ผ้าทอของชาวชุมชนไทยทรงดำ หรือ ลาวโซ่ง ต.ดอนมะนาว อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี สืบสานองค์ความรู้มาจากบรรพบุรุษชาวเมืองแถงเคียนเบียนฟู ประเทศเวียดนาม ที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในประเทศไทยในสมัยธนบุรี รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 3 ที่ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี พอมาสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนหนึ่งอพยพไปตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดอื่นๆ อาทิ ราชบุรี นครปฐม นครสวรรค์ พิจิตร สุโขทัย สุพรรณบุรี เป็นต้น

โดยชาวไทยทรงดำใน จ.สุพรรณบุรี ได้ย้ายมาอาศัยที่บ้านดอนมะนาวเมื่อราวปี พ.ศ. 2443 วันนี้ก็มีอายุกว่าร้อยปีแล้ว และยังคงนำภูมิปัญญาด้านทอผ้า ย้อมผ้า มาใช้เพื่อทำเครื่องแต่งกายให้คนในครอบครัวตามเอกลักษณ์ของชนเผ่าจวบจนปัจจุบัน ในฐานะตัวแทนของชาวชุมชนไทยทรงดำ บ้านดอนมะนาว สมาชิกในกลุ่มและเครือข่าย รู้สึกปลื้มใจ และภาคภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงฝีมือ และภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าของชาวไทยทรงดำในคอลเลกชันนี้ของคิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย จนได้ส่งออกไปจำหน่ายในระดับโลก ชาวบ้านดอนมะนาวทุกคนตั้งใจทำงานนี้อย่างสุดฝีมือ ใส่ใจ และความรักไปในผลงานทุกชิ้น เพื่อให้ลวดลายไทยบนทุกชิ้นงาน ได้สะท้อนและเผยแพร่ความงดงามของงานฝีมือไทยทรงดำไปให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์

สำหรับ ผ้าทอดอนมะนาว เป็นผ้าทอมือจากฝ้ายแท้ ทอด้วยกี่พุ่งแบบโบราณ หรือกี่กระตุก ย้อมด้วยสีธรรมชาติ มีสีพื้นเป็นสีดำ หรือสีคราม (ย้อมเย็น) และเปลือกไม้ต่างๆ หรือย้อมนิล (ย้อมร้อน) ซึ่งเป็นกระบวนการย้อมธรรมชาติ เหตุที่ผ้าของชาวไทยทรงดำต้องเป็นสีดำหรือสีคราม เนื่องจากชาวไทยทรงดำส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร

มีวัฒนธรรมการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่ และผ้าคลุมไหล่ ส่วนใหญ่จะมีสีดำเป็นสีพื้น เพื่อสอดคล้องกับวิถีชีวิตของเกษตรกร

“เราอยากเป็นมากกว่าคู่ค้า แต่เป็นคู่คิด ที่ร่วมทำงานกับชุมชน และพันธมิตรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างให้ชุมชนเติบโตอย่างเข้มแข็ง และนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในที่สุด” อัยยวัฒน์ กล่าวสรุป

ทั้งนี้ ในหลายปีที่ผ่านมานั้น ได้เคยนำเสนอสินค้าจากหลากหลายภาค ทั้งบ้านนาขาม จ.สกลนคร (ภาคอีสาน), ชุมชนทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน และกลุ่มทอผ้าตีนจกไทย อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ (ภาคเหนือ) และชุมชนบ้านคีรีวง จ.นครศรีธรรมราช (ภาคใต้) และล่าสุดในปีนี้ กับ LCFC x Community Power คอลเลกชัน THAI SONG DUM (ไทยทรงดำ) ที่สะท้อนเรื่องราว และปรัชญาการดำรงชีวิตของชุมชนไทยทรงดำในภาคกลาง thaifootballbet888